พระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. ๒๕๕๘
เพื่อให้เป็นไปตามกฏหมายดังกล่าว สมาชิกทุกท่านต้องอ่านทำความเข้าใจและปฏิบัติตามอย่างเคร่งคัด
ปรัดขิกหลวงพ่อเ...
ปรัดขิกหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก 3 อุ
ปลัดขิกอันดับ 1 ของเมืองไทย

(หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก ฉะเชิงเทรา)

ปลัดขิกหัวกระจ่า 3 อุ หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก จ.ฉะเชิงเทรา

สุดยอดปลัดขิกอันดับ 1 ของเมืองไทย ที่ในอดีตเคยถูกจัดให้อยู่ในชุดเบญจภาคีเครื่องราง โดยมี "ปลัดขิก หลวงพ่อเหลือ เขี้ยวเสือ หลวงพ่อปาน หนุมาน หลวงพ่อสุ่น วัวปั้นหุ่น วัดศรีษะ เบี้ยแก้กันของ วัดนายโรง"

หลวงพ่อเหลือ ท่านเป็น 1 ใน 108 พระเกจิอาจารย์ ที่ได้รับนิมนต์ มาร่วมนั่งปรกพุทธาภิเษกวัตถุมงคล ในงานหล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ที่วัดราชบพิตร ระหว่างปี พ.ศ.2480-2481 ท่านได้ศึกษาวิชาจากทั้งหลวงพ่อขริก วัดสาวชะโงก, หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน และหลวงพ่อนก วัดสังกะสี ปลัดขิกของหลวงพ่อเหลือนั้นใช้ดีทางเมตตามหานิยมและคงกระพัน ท่านโด่งดังทางด้านปลัดขิก สมัยนั้นแม่ค้าจะมาขอปลัดขิกของท่านเพื่อช่วยในการทำมาค้าขาย ส่วนผู้ชายนำไปใช้ทางมหานิยม ติดตัวไว้ไม่ตายโหง ซึ่งผู้ชายนิยมร้อยเชือกแขวนไว้ที่เอว และพ่อค้าแม่ขายนิยมนำไปเป็นของขลัง เพราะเชื่อว่าจะทำให้ทำมาค้าขึ้น ประสบการณ์จากผู้ที่บูชาเท่าที่ทราบนั้น ลือเลื่องของเมตตามหาเสน่ห์เป็นยิ่งนัก และเรื่องของคงกระพันชาตรีก็มิใช่ย่อยเช่นกันครับ นอกจากความโด่งดังจากเรื่องปลัดขิกแล้วยังมีเรื่องเล่าว่าท่านสามารถปลุกเสกตนเองให้ลอยทวนน้ำได้ ชาวบ้านจึงพากันเลื่อมใสศรัทธาและเคารพบูชาท่านเป็นอันมาก

คำว่า "ปลัดขิก" แท้จริงก็คือ รูปศิวลึงค์ นั่นเอง หรือที่บางคนบอกว่าเป็นรูปของอวัยวะเพศชายก็ไม่ผิด ปลัดขิกของเกจิคณาจารย์ในเมืองไทยที่ได้รับความนิยมนั้นมีอยู่หลายสำนัก แต่ที่ขึ้นชื่อมากคือ หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา และหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ชลบุรี

แค่ชื่อวัดก็นับว่าสุดยอดครับ สาวยังชะโงกแล้วอย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง หลวงพ่อเหลือความจริงท่านโด่งดังมาจากเรื่องของผ้ายันต์แดง ที่ทำแล้วปลุกเสกแจกทหารในสงคราม พ.ศ.2483-84 ที่ทหารไทยนำเอาไปใช้แล้วยิงไม่เข้าแทงไม่เข้านั่นเอง แต่ต่อมามีคนทราบว่าท่านเก่งในเรื่องของปลัดขิกด้วยจึงพยายามให้หลวงพ่อทำปลัดขิกให้ ปลัดขิกของหลวงพ่อนั้น ท่านจะทำด้วยไม้คูณตายพราย ไม้แก่นคูณ ฯลฯ เมื่อได้ไม้ตามปรารถนาแล้ว หลวงพ่อท่านจะทำน้ำมนต์ขึ้นมาก่อนแล้วราดลงไปที่ไม้ จากนั้นนำเอาไม้ไปตากแห้ง เมื่อไม้แห้งแล้วจึงนำเอามาแกะเป็นปลัดขิก ในยุคแรกๆ หลวงพ่อทำเองทั้งหมดแม้แต่จารอักขระยันต์ถึงการปลุกเสก ลายมือท่านจะเหมือนภาษาจีน ส่วนก้นลูกแก้ว ลายมือสวย จารตัวโต เป็นอาจารย์คงลูกศิษย์

เมื่อแกะรูปปลัดขิกแล้วหลวงพ่อท่านจะทำการลงคาถาหัวใจโจร พร้อมกับลงตัวอุที่ด้านปลายของปลัดขิกทุกตัวด้วยอักขระตัวอุ ซึ่งการจารลงนั้นท่านใช้เหล็กปลายแหลมเล็กๆ ด้ามไม้ลงจาร 1-3-5-7-9 ตัว ต่อมาให้ลูกศิษย์จารแทนให้เมื่อคราวที่ท่านอายุมากขึ้น สำหรับคาถาหัวใจโจรของหลวงพ่อเหลือที่ใช้กำกับว่าดังนี้

"อิติกะตา กันหะเนหะ อุมะอุมิ" เป็นหลัก

การปลุกเสกของหลวงพ่อเหลือท่านอาศัยเรื่องฤกษ์ยามและดวงดาวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ทำเสร็จเมื่อไหร่ก็เสกกันเมื่อนั้น หากทำอย่างนั้นจะไม่ขลัง คาถาหัวใจโจรคืออะไร บางคนนึกว่าเป็นคาถาสำหรับการออกรบต่อสู้นักเลงไปในทางนั้น แต่ความเป็นจริงแล้วคำว่า หัวใจโจร ในที่นี้หมายถึง การได้อะไรมาโดยง่ายแบบปุบปับฟลุคๆ ไม่คาดคิดไม่นึกไม่ฝัน นี่ต่างหากที่เป็นความหมายอันแท้จริงของคำว่าหัวใจโจร ไม่ใช่หมายถึงการไปปล้นไปฆ่าอย่างที่ใครหลายคนคิดเอาเอง

พระเกจิคณาจารย์นั้นท่านน้อมเอาปรัชญาต่างๆ แอบซ่อนเอาไว้ในเครื่องรางของขลังที่ท่านสร้างอยู่เสมอ จนน้อยคนนักหากไม่ได้ศึกษาอย่างเจนจบจะไม่อาจพบในเรื่องของเงื่อนงำแห่งปรัชญาได้เลย การปลุกเสกของหลวงพ่อเหลือ ท่านได้ใช้ฤกษ์ยามว่าด้วยสูตรแห่งโหราศาสตร์ด้วย เมื่อพระคาถาเป็นคาถาหัวใจโจร ฤกษ์ในการปลุกเสกก็ต้องอาศัยฤกษ์เฉพาะที่เป็นเหล่าก๊กแห่งโจร หลวงพ่อเหลือจึงต้องปลุกเสกในช่วงเวลา 3 ทุ่มครึ่งขึ้นไปของทุกวัน ซึ่งในห้วงเวลานี้เป็นห้วงเวลาแห่งดาวราหูมีตัวแทนคือเลข ๘

สำหรับวันที่ปลุกเสกหลวงพ่อจะปลุกเสกในวันอังคาร วันศุกร์ และวันเสาร์ ปลัดขิกในบาตรที่ท่านนำใส่เอาไว้จะต้องปลุกให้ครบสามวันตามที่กล่าวมาในช่วงเวลาสามทุ่มครึ่ง เพราะกำลังแห่งก๊กโจรทางภาษาโหรศาสตร์นั้น กำหนดเอาไว้ด้วยกลุ่มดาว 4 ดวง กล่าวคือ ดาวอังคาร มีตัวแทนคือเลข ๓ ดาวศุกร์มีตัวแทนคือเลข ๖ ดาวเสาร์มีตัวแทนเป็นเลข ๗ และดาวราหูมีตัวแทนเป็นเลข ๘

สรุปเลขก๊กโจรคือ ๓ ๖ ๗ ๘ (ของโหราศาสตร์) แต่ทว่าในปฏิทินสากลทั่วไปไม่มีวันราหูจึงต้องอาศัยดาวราหูในการกำหนดฤกษ์ยาม เวลาของดาวราหูคือตอนกลางคืน ตั้งแต่สามทุ่มครึ่งเป็นต้นไป

เมื่อหลวงพ่อเหลือปลุกเสกตามฤกษ์ยามนี้จึงเป็นการทำที่ครบก๊กพอดี เครื่องรางของท่านจึงมากไปด้วยอานุภาพนัก เลข ๓ มีความหมายสื่อไปถึงจิ๊กโก๋กล้าได้กล้าเสีย เลข ๖ มีความหมายสื่อไปถึงครูโจร คือ นักวางแผนในการทำงาน เลข ๗ สื่อไปถึงผู้มีใจนักเลงผิดเป็นผิดถูกเป็นถูก (ไม่ใช่อันธพาล)

อานุภาพของปลัดขิกหลวงพ่อเหลือ คือ ดีด้านคงกระพันและเมตตาโชคลาภเป็นยิ่งนัก แต่เป็นโชคลาภที่ได้มาจากการไม่ต้องร้องขอแต่ประการใด เป็นโชคลาภแบบอยู่เฉยๆ นิ่งๆ เดี๋ยวมาเองเดี๋ยวดีเองคนรุ่นเก่าบอกว่า หากใส่ปลัดขิกหลวงพ่อเหลือเพื่อจีบสาวให้เอามาไว้ที่เอวทางซ้าย หากจะเข้าหาเจ้านายให้เอามาไว้ที่เอวข้างขวา หากเกิดเหตุคับขันให้หันเอาไว้ข้างหน้า หากจะถอยให้เอาไว้ด้านหลัง เวลาจะใช้ในการใดเมื่อหันไปถูกตำแหน่งที่ต้องการแล้วให้กลั้นหายใจว่าคาถากำกับคือบทหัวใจโจร กัณหะ เนหะ แล้วทุกอย่างจะเป็นไปสมปรารถนาทุกประการ

อีกอย่างหนึ่งชื่อของท่านเป็นที่ชื่อที่ดีมาก ใส่แล้วจะได้เหลือกินเหลือใช้ แต่สำหรับพ่อค้าแม่ขายไม่นิยมเอาปลัดขิกของหลวงพ่อเหลือไปในร้านหรือขณะขายของ เพราะกลัวเป็นไปตามชื่อของท่านคือ เหลือ หรือว่าขายของไม่หมดนั้นเอง

คนรุ่นเก่าๆ เล่าว่า หลวงพ่อเหลือท่านเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจากับใครเท่าไหร่นัก กลางคืนท่านก็จะนั่งภาวนาของท่านด้วยการจุดเทียนหนึ่งเล่มในกุฏิ จากนั้นท่านก็นำเอาปลัดขิกมาวางที่หน้าเทียนแล้วภาวนาไปเรื่อยๆ จนครึ่งคืน (คาดว่าประมาณสองยามหรือเที่ยงคืน) แล้วเป็นพอ

มีคนเคยกล่าวว่า ตำราของการปลุกเสกเครื่องรางทุกชนิดนั้น ผู้ปลุกเสกต้องใช้คาถาภาวนาร่วมกันปลุกเสกจนกว่าเครื่องรางนั้นจะเคลื่อนที่เองได้ราวมีชีวิต สำหรับปลัดขิกของหลวงพ่อเหลือนั้นเมื่อปลุกเสกแล้วหลวงพ่อจะหยิบออกจากบาตรมาตัวหนึ่ง ครั้นรุ่งสางหลังจากบิณฑบาตแล้วท่านจะลองโยนลงไปในแม่น้ำ หากปลัดขิกนั้นไม่จมคือลอยน้ำได้ แล้ววิ่งทวนน้ำได้ เป็นอันว่าการปลุกเสกปลัดขิกชุดนี้เสร็จสมบูรณ์
ผู้เข้าชม
2687 ครั้ง
ราคา
9500
สถานะ
เปิดให้บูชา
ชื่อร้าน
หนึ่งโนนสูง
ร้านค้า
โทรศัพท์
ไอดีไลน์
neungtattookorat
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
1. ธนาคารกรุงเทพ / 688-0-16369-3

ผู้เข้าใช้งานล่าสุด
ยอด วัดโพธิ์วุฒิระนองJoker Tanakrontangmoep8600Erawan
BAINGERNchathanumaanvanglannaLe29Amuletpraserthsomeman
pratharn_psomphopSadman751ponsrithong2Beerchang พระเครื่องPakawat34
เนินพระ99แมวดำ99นานาtermboonพุทธศาสตร์99ยุ้ย พลานุภาพ
เปียโนgorn9เจ ท่าช้างtplaskaew กจ.สยามพระเครื่องไทย

ผู้เข้าชมขณะนี้ 1531 คน

เพิ่มข้อมูล

ปรัดขิกหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก 3 อุ


  ส่งข้อความ



ชื่อพระเครื่อง
ปรัดขิกหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก 3 อุ
รายละเอียด
ปลัดขิกอันดับ 1 ของเมืองไทย

(หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก ฉะเชิงเทรา)

ปลัดขิกหัวกระจ่า 3 อุ หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก จ.ฉะเชิงเทรา

สุดยอดปลัดขิกอันดับ 1 ของเมืองไทย ที่ในอดีตเคยถูกจัดให้อยู่ในชุดเบญจภาคีเครื่องราง โดยมี "ปลัดขิก หลวงพ่อเหลือ เขี้ยวเสือ หลวงพ่อปาน หนุมาน หลวงพ่อสุ่น วัวปั้นหุ่น วัดศรีษะ เบี้ยแก้กันของ วัดนายโรง"

หลวงพ่อเหลือ ท่านเป็น 1 ใน 108 พระเกจิอาจารย์ ที่ได้รับนิมนต์ มาร่วมนั่งปรกพุทธาภิเษกวัตถุมงคล ในงานหล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ที่วัดราชบพิตร ระหว่างปี พ.ศ.2480-2481 ท่านได้ศึกษาวิชาจากทั้งหลวงพ่อขริก วัดสาวชะโงก, หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน และหลวงพ่อนก วัดสังกะสี ปลัดขิกของหลวงพ่อเหลือนั้นใช้ดีทางเมตตามหานิยมและคงกระพัน ท่านโด่งดังทางด้านปลัดขิก สมัยนั้นแม่ค้าจะมาขอปลัดขิกของท่านเพื่อช่วยในการทำมาค้าขาย ส่วนผู้ชายนำไปใช้ทางมหานิยม ติดตัวไว้ไม่ตายโหง ซึ่งผู้ชายนิยมร้อยเชือกแขวนไว้ที่เอว และพ่อค้าแม่ขายนิยมนำไปเป็นของขลัง เพราะเชื่อว่าจะทำให้ทำมาค้าขึ้น ประสบการณ์จากผู้ที่บูชาเท่าที่ทราบนั้น ลือเลื่องของเมตตามหาเสน่ห์เป็นยิ่งนัก และเรื่องของคงกระพันชาตรีก็มิใช่ย่อยเช่นกันครับ นอกจากความโด่งดังจากเรื่องปลัดขิกแล้วยังมีเรื่องเล่าว่าท่านสามารถปลุกเสกตนเองให้ลอยทวนน้ำได้ ชาวบ้านจึงพากันเลื่อมใสศรัทธาและเคารพบูชาท่านเป็นอันมาก

คำว่า "ปลัดขิก" แท้จริงก็คือ รูปศิวลึงค์ นั่นเอง หรือที่บางคนบอกว่าเป็นรูปของอวัยวะเพศชายก็ไม่ผิด ปลัดขิกของเกจิคณาจารย์ในเมืองไทยที่ได้รับความนิยมนั้นมีอยู่หลายสำนัก แต่ที่ขึ้นชื่อมากคือ หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา และหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ชลบุรี

แค่ชื่อวัดก็นับว่าสุดยอดครับ สาวยังชะโงกแล้วอย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง หลวงพ่อเหลือความจริงท่านโด่งดังมาจากเรื่องของผ้ายันต์แดง ที่ทำแล้วปลุกเสกแจกทหารในสงคราม พ.ศ.2483-84 ที่ทหารไทยนำเอาไปใช้แล้วยิงไม่เข้าแทงไม่เข้านั่นเอง แต่ต่อมามีคนทราบว่าท่านเก่งในเรื่องของปลัดขิกด้วยจึงพยายามให้หลวงพ่อทำปลัดขิกให้ ปลัดขิกของหลวงพ่อนั้น ท่านจะทำด้วยไม้คูณตายพราย ไม้แก่นคูณ ฯลฯ เมื่อได้ไม้ตามปรารถนาแล้ว หลวงพ่อท่านจะทำน้ำมนต์ขึ้นมาก่อนแล้วราดลงไปที่ไม้ จากนั้นนำเอาไม้ไปตากแห้ง เมื่อไม้แห้งแล้วจึงนำเอามาแกะเป็นปลัดขิก ในยุคแรกๆ หลวงพ่อทำเองทั้งหมดแม้แต่จารอักขระยันต์ถึงการปลุกเสก ลายมือท่านจะเหมือนภาษาจีน ส่วนก้นลูกแก้ว ลายมือสวย จารตัวโต เป็นอาจารย์คงลูกศิษย์

เมื่อแกะรูปปลัดขิกแล้วหลวงพ่อท่านจะทำการลงคาถาหัวใจโจร พร้อมกับลงตัวอุที่ด้านปลายของปลัดขิกทุกตัวด้วยอักขระตัวอุ ซึ่งการจารลงนั้นท่านใช้เหล็กปลายแหลมเล็กๆ ด้ามไม้ลงจาร 1-3-5-7-9 ตัว ต่อมาให้ลูกศิษย์จารแทนให้เมื่อคราวที่ท่านอายุมากขึ้น สำหรับคาถาหัวใจโจรของหลวงพ่อเหลือที่ใช้กำกับว่าดังนี้

"อิติกะตา กันหะเนหะ อุมะอุมิ" เป็นหลัก

การปลุกเสกของหลวงพ่อเหลือท่านอาศัยเรื่องฤกษ์ยามและดวงดาวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ทำเสร็จเมื่อไหร่ก็เสกกันเมื่อนั้น หากทำอย่างนั้นจะไม่ขลัง คาถาหัวใจโจรคืออะไร บางคนนึกว่าเป็นคาถาสำหรับการออกรบต่อสู้นักเลงไปในทางนั้น แต่ความเป็นจริงแล้วคำว่า หัวใจโจร ในที่นี้หมายถึง การได้อะไรมาโดยง่ายแบบปุบปับฟลุคๆ ไม่คาดคิดไม่นึกไม่ฝัน นี่ต่างหากที่เป็นความหมายอันแท้จริงของคำว่าหัวใจโจร ไม่ใช่หมายถึงการไปปล้นไปฆ่าอย่างที่ใครหลายคนคิดเอาเอง

พระเกจิคณาจารย์นั้นท่านน้อมเอาปรัชญาต่างๆ แอบซ่อนเอาไว้ในเครื่องรางของขลังที่ท่านสร้างอยู่เสมอ จนน้อยคนนักหากไม่ได้ศึกษาอย่างเจนจบจะไม่อาจพบในเรื่องของเงื่อนงำแห่งปรัชญาได้เลย การปลุกเสกของหลวงพ่อเหลือ ท่านได้ใช้ฤกษ์ยามว่าด้วยสูตรแห่งโหราศาสตร์ด้วย เมื่อพระคาถาเป็นคาถาหัวใจโจร ฤกษ์ในการปลุกเสกก็ต้องอาศัยฤกษ์เฉพาะที่เป็นเหล่าก๊กแห่งโจร หลวงพ่อเหลือจึงต้องปลุกเสกในช่วงเวลา 3 ทุ่มครึ่งขึ้นไปของทุกวัน ซึ่งในห้วงเวลานี้เป็นห้วงเวลาแห่งดาวราหูมีตัวแทนคือเลข ๘

สำหรับวันที่ปลุกเสกหลวงพ่อจะปลุกเสกในวันอังคาร วันศุกร์ และวันเสาร์ ปลัดขิกในบาตรที่ท่านนำใส่เอาไว้จะต้องปลุกให้ครบสามวันตามที่กล่าวมาในช่วงเวลาสามทุ่มครึ่ง เพราะกำลังแห่งก๊กโจรทางภาษาโหรศาสตร์นั้น กำหนดเอาไว้ด้วยกลุ่มดาว 4 ดวง กล่าวคือ ดาวอังคาร มีตัวแทนคือเลข ๓ ดาวศุกร์มีตัวแทนคือเลข ๖ ดาวเสาร์มีตัวแทนเป็นเลข ๗ และดาวราหูมีตัวแทนเป็นเลข ๘

สรุปเลขก๊กโจรคือ ๓ ๖ ๗ ๘ (ของโหราศาสตร์) แต่ทว่าในปฏิทินสากลทั่วไปไม่มีวันราหูจึงต้องอาศัยดาวราหูในการกำหนดฤกษ์ยาม เวลาของดาวราหูคือตอนกลางคืน ตั้งแต่สามทุ่มครึ่งเป็นต้นไป

เมื่อหลวงพ่อเหลือปลุกเสกตามฤกษ์ยามนี้จึงเป็นการทำที่ครบก๊กพอดี เครื่องรางของท่านจึงมากไปด้วยอานุภาพนัก เลข ๓ มีความหมายสื่อไปถึงจิ๊กโก๋กล้าได้กล้าเสีย เลข ๖ มีความหมายสื่อไปถึงครูโจร คือ นักวางแผนในการทำงาน เลข ๗ สื่อไปถึงผู้มีใจนักเลงผิดเป็นผิดถูกเป็นถูก (ไม่ใช่อันธพาล)

อานุภาพของปลัดขิกหลวงพ่อเหลือ คือ ดีด้านคงกระพันและเมตตาโชคลาภเป็นยิ่งนัก แต่เป็นโชคลาภที่ได้มาจากการไม่ต้องร้องขอแต่ประการใด เป็นโชคลาภแบบอยู่เฉยๆ นิ่งๆ เดี๋ยวมาเองเดี๋ยวดีเองคนรุ่นเก่าบอกว่า หากใส่ปลัดขิกหลวงพ่อเหลือเพื่อจีบสาวให้เอามาไว้ที่เอวทางซ้าย หากจะเข้าหาเจ้านายให้เอามาไว้ที่เอวข้างขวา หากเกิดเหตุคับขันให้หันเอาไว้ข้างหน้า หากจะถอยให้เอาไว้ด้านหลัง เวลาจะใช้ในการใดเมื่อหันไปถูกตำแหน่งที่ต้องการแล้วให้กลั้นหายใจว่าคาถากำกับคือบทหัวใจโจร กัณหะ เนหะ แล้วทุกอย่างจะเป็นไปสมปรารถนาทุกประการ

อีกอย่างหนึ่งชื่อของท่านเป็นที่ชื่อที่ดีมาก ใส่แล้วจะได้เหลือกินเหลือใช้ แต่สำหรับพ่อค้าแม่ขายไม่นิยมเอาปลัดขิกของหลวงพ่อเหลือไปในร้านหรือขณะขายของ เพราะกลัวเป็นไปตามชื่อของท่านคือ เหลือ หรือว่าขายของไม่หมดนั้นเอง

คนรุ่นเก่าๆ เล่าว่า หลวงพ่อเหลือท่านเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจากับใครเท่าไหร่นัก กลางคืนท่านก็จะนั่งภาวนาของท่านด้วยการจุดเทียนหนึ่งเล่มในกุฏิ จากนั้นท่านก็นำเอาปลัดขิกมาวางที่หน้าเทียนแล้วภาวนาไปเรื่อยๆ จนครึ่งคืน (คาดว่าประมาณสองยามหรือเที่ยงคืน) แล้วเป็นพอ

มีคนเคยกล่าวว่า ตำราของการปลุกเสกเครื่องรางทุกชนิดนั้น ผู้ปลุกเสกต้องใช้คาถาภาวนาร่วมกันปลุกเสกจนกว่าเครื่องรางนั้นจะเคลื่อนที่เองได้ราวมีชีวิต สำหรับปลัดขิกของหลวงพ่อเหลือนั้นเมื่อปลุกเสกแล้วหลวงพ่อจะหยิบออกจากบาตรมาตัวหนึ่ง ครั้นรุ่งสางหลังจากบิณฑบาตแล้วท่านจะลองโยนลงไปในแม่น้ำ หากปลัดขิกนั้นไม่จมคือลอยน้ำได้ แล้ววิ่งทวนน้ำได้ เป็นอันว่าการปลุกเสกปลัดขิกชุดนี้เสร็จสมบูรณ์
ราคาปัจจุบัน
9500
จำนวนผู้เข้าชม
2691 ครั้ง
สถานะ
เปิดให้บูชา
โดย
ชื่อร้าน
หนึ่งโนนสูง
URL
เบอร์โทรศัพท์
0854999409
ID LINE
neungtattookorat
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
1. ธนาคารกรุงเทพ / 688-0-16369-3




กำลังโหลดข้อมูล

หน้าแรกลงพระฟรี